ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
4 มกราคม 2554

ตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ ใน จ. ภูเก็ตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องปี 54 คาดมียอดขาย 5,000 ล้านบาท หลายโครงการประสบปัญหาสร้างไม่เสร็จ ส่งผลกระทบความเชื่อมั่น ในขณะที่กลุ่มซีคอนอาศัยประสบการณ์และชื่อเสียง ขยายโครงการที่ 9 มูลค่า 200 ล้านบาท

นายปิยะ ซอโสตถิกุล กรรมการบริหารเครือซีคอน กล่าวว่า ยอดขายที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติใน จ. ภูเก็ต ปี 2553 อยู่ที่ระดับประมาณ 4,000 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นจากปี 2552 กว่า 25% และแนวโน้มน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องสำหรับปี 2554 โดยคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงที่ธุรกิจดีที่สุดในช่วงปี 2549 และ 2550 ที่มียอดขายรวมประมาณปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท ต้องยอมรับว่าตลาดยังไม่ฟื้นตัวเพราะยอดขายรวมลดลงไปกว่า 50%

ทั้งนี้เหตุผลหลักมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในยุโรป ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักโดยเฉพาะชาวอังกฤษ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้ราคาบ้านเมื่อเปลี่ยนเป็นสกุลอื่นมีต้นทุนสูงขึ้น และประการสุดท้ายคือเริ่มมีหลายโครงการที่รับเงินจองลูกค้า แต่มีปัญหาสร้างไม่เสร็จ หรือล่าช้ากว่ากำหนดไม่สามารถโอนให้กับผู้ซื้อชาวต่างชาติได้ ทำให้ตลาดโดยรวมขาดความเชื่อมั่น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับ ชาวต่างชาติใน จ. ภูเก็ต เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองจากกรุงเทพมหานคร ส่วนตลาดที่รองจาก ภูเก็ต ก็มีพัทยา เชียงใหม่ สมุยหัวหินและกระบี่ ตามลำดับ ปัจจุบันภูเก็ต มีโครงการจัดสรรรวม 147 โครงการ แบ่งเป็นโครงการ Super Premium หรือวิลล่าที่มีราคาสูงกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ 23 โครงการ ซึ่งอยู่แถบหาดสุรินทร์ หาดกมลาหรือบริเวณแถบริมทะเลด้านตะวันตกเป็นหลัก โครงการวิลล่าหรือที่อยู่อาศัยแนวราบอื่นๆ ในราคาตั้งแต่ 5 –60 ล้านบาท อีก 96 โครงการ ซึ่งจะกระจายไปทั่วเกาะ เช่น กะตะ กะรน ถลาง ราไว และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 28 โครงการ ซึ่งหลายโครงการอยู่บริเวณเนินเขาที่พอเห็นวิวทะเล เช่น แถบป่าตอง มูลค่านับจากยอดที่รอการขายมีอยู่ประมาณ 35,000 ล้านบาท

สำหรับเครือซีคอน เราได้เริ่มทำธุรกิจจัดสรรสำหรับชาวต่างชาติในภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2547 ภายใต้บริษัทและแบรนด์ Erawana ซึ่งเริ่มจากการพัฒนาโครงการวิลล่าขนาดเล็กๆ ระดับราคาประมาณ 10 ล้านบาท ในบริเวณหาดราไวย์หรือตอนใต้ของเกาะภูเก็ต และขยายธุรกิจมาทางตอนเหนือบริเวณหาดบางเทาแถบลากูนน่า ซึ่งปัจจุบันบริษัท Erawana กำลังจะปิดโครงการที่ 8 หรือมีการขายและโอนวิลล่าไปกว่า 120 หลังในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาและกำลังก่อสร้างโครงการที่ 9 มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ในราคายูนิตละ 15-20 ลบ. โดยเป็นการจับลูกค้าระดับกลาง

ทั้งนี้ โครงการส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่เดินทางสะดวก ค่อนข้างเจริญ แต่ก็อยู่ห่างจากทะเลไม่เกิน 5 นาที และวิลล่ามีคุณภาพแต่ราคาไม่สูงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เพราะมีต้นทุนที่ดินต่ำเนื่องจากซื้อไว้นาน อีกทั้งค่าก่อสร้างที่ไม่สูงเพราะอยู่ในธุรกิจก่อสร้างมากว่า 50 ปี ระยะหลังๆ มีหลาย Agent ที่พาลูกค้ามาชมโครงการมากขึ้น เพราะมีความเชื่อมั่นในบริษัท ซึ่งอยู่ในธุรกิจจัดสรรในภูเก็ตมานาน ส่วนใหญ่เป็นการสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย และจะเป็นกลุ่มที่ใช้เองไม่ใช่ กลุ่มซื้อเพื่อการลงทุน ทำให้ยังมีความต้องการอยู่ นายปิยะ กล่าว

ตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก เพราะความได้เปรียบของจังหวัดภูเก็ต เช่น ธรรมชาติและทะเลที่สวยงาม ค่าครองชีพที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ อัธยาศัยของคนไทยที่เป็นมิตร การเป็นอยู่ที่มีความปลอดภัย การมีสนามบินนานาชาติที่มี Direct Flight จากต่างประเทศ อีกทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลระดับโลก

อย่างไรก็ตามขณะนี้ ชื่อเสียงของผู้ประกอบการบางรายเริ่มไม่ดี ทั้งนี้ พฤติการการวางเงินจอง หรือการชำระค่างวดของตลาดชาวต่างชาติจะต่างจากโครงการ ขายคนไทยทั่วๆ ไปเพราะต้องชำระสูงถึง 80-90% ก่อนโอนหรือจดสิทธิการเช่าให้ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ได้รับเงินส่วนใหญ่ไปแล้ว หากสร้างไม่เสร็จหรือไม่สามารถโอนได้ ลูกค้าจะเสียหายมาก โดยปัจจุบันมีไม่ต่ำกว่า 20 โครงการที่มีปัญหา และเริ่มมีการฟ้องร้องจนทำให้ลูกค้ารายอื่นๆ ขาดความเชื่อมั่นและทำให้ธุรกิจเริ่มเสียภาพลักษณ์ ทั้งนี้กลไกแก้ไขทางตลาดเองก็มีหลายวิธี เช่น ลูกค้ารอจนมีการสร้างเสร็จก่อนซื้อ หรือซื้อเฉพาะโครงการที่ยอมให้วางเงิน หรือชำระค่างวดต่ำส่วนที่เหลือรอชำระ ณ วันโอนเสร็จ อีกวิธีหนึ่งคือ Agent ที่มีกว่า 100 ราย ใน จ. ภูเก็ต เริ่มคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและประวัติที่ดี ในบางกรณีผู้ประกอบการยอมตั้ง Escrow Account ให้ผู้ซื้อโอนเงินเข้ามา แต่เจ้าของโครงการไม่สามารถใช้เงินได้ และต้องคืนหากสร้างโครงการไม่เสร็จ สรุปง่ายๆ คือเริ่มมีการจัดระเบียบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และหวังว่าจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของลูกค้าบางกลุ่มกลับมาได้ นายปิยะ กล่าวในที่สุด

โดย : โต๊ะข่าวการตลาด

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 04 ม.ค. 54

0 ความคิดเห็น: