รุกเมืองท่องเที่วAPฝันยอดขาย ปีหน้า3.2พันล.เล็งเจาะหัวหิน-ภูเก็ต

เอพีส่ง“บางกอกซิตี้สมาร์ท”บุกตลาดโบรกเกอร์เมืองท่องเที่ยว ประเดิม”พัทยา” ตั้งธง 3 ปีบริหารงานขายบ้านครบทุกเซกเมนท์ ปีแรกลุยตลาดคอนโดฯ ตั้งเป้ายอดขาย 150 ล้านบาท ยอมรับตลาดฟื้นตัวแค่ 70% ของปี 50 ก้าวต่อไปบุกตลาดหัวหิน ภูเก็ต ตั้งเป้าปีหน้าขาย 3,200 ล้านบาท หลังจากนั้นเอพีเตรียมลุยพัฒนาโครงการในเมืองท่องเที่ยว

นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบางกอก ซิตี้สมาร์ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับบริหารงานขายและการตลาด หรือโบรกเกอร์ รวมถึงที่ปรึกษาด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินงานมาเป็นเวลา 4 ปีแล้วโดยปัจจุบันสามารถสร้างยอดขายได้ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นมาจากการขายคอนโดฯ จำนวน 83% อีก17% มาจากการฝากเช่า

ที่ผ่านมาขอบเขตการให้บริการของบริษัทอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯและ ปริมณฑล และเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนจึงมีแนวคิดที่จะขยายฐานลูกค้าไปสู่หัวเมือง ใหญ่ในต่างจังหวัด เพื่อรองรับความต้องการของตลาดฝากขาย เช่า ซึ่งจากการศึกษาในด้านดีมานด์และซัปพลายตามหัวเมืองต่างๆ รวมถึงอัตราการขยายตัวของเมืองพบว่า “พัทยา” ถือเป็นเมืองใหญ่ที่น่าสนใจสำหรับการขยายธุรกิจของบริษัท

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการขยายตัวของตลาดอสังหาฯอย่างมากโดยในปี 52 พบว่ามีการขออนุญาตก่อสร้างอาคารชุดมากถึง 1 ล้านตร.ม. แต่หลังจากนั้นเริ่มปรับลดลง ขณะที่จำนวนยูนิตของคอนโดฯที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 3.7-3.8 หมื่นหน่วย ส่วนในปีนี้จำนวนยูนิตที่แล้วเสร็จอยู่ที่ 3.9 หมื่นหน่วย ซึ่งการพัฒนาคอนโดฯในเมืองพัทยา ส่วนใหญ่อยู่ 4 พื้นที่หลักได้แก่ 1. จอมเทียน 38% 2.เมืองพัทยา 35% 3. พระตำหนัก 17% และ 4. วงศ์อำมาตย์ 10%

สำหรับดีมานด์เมืองพัทยานั้น นอกจากลูกค้าคนท้องถิ่นและคนทำงานในพัทยาแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทตามนิคมอุตสากรรมในย่านใกล้ เคียง อาทิ มาบตาพุด ระยอง นิคมอุตหกรรมอมตะ และอื่นๆ มาซื้อที่อยู่อาศัยในพัทยา เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันกว่าเมืองไกล้เคียง อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการซื้อขายอสังหาฯในชลบุรีฟื้นตัวเพียง 70% เมื่อเทียบกับช่วงปี 49-50 เท่านั้น

ส่วนบริษัทตัวแทนนายหน้าอสังหาฯหรือโบรกเกอร์ในพัทยามีการแข่งขัน ค่อนข้างสูง แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กของชาวต่างชาติซึ่งจะเน้นทำตลาดเฉพาะคนใน ประเทศของตนเองเช่น โบรกเกอร์จากนอร์เวย์ ฟินแลนด์ และสวีเดน เป็นต้น ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ยังถือว่ามีจำนวนน้อย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทในการเปิดให้บริการในพัทยา โดยมีสาขาที่ พัทยา นิว พลาซ่า พัทยาสาย 2 อยู่ใกล้กับเซ็นทรัลพัทยา

ส่วนแผนการดำเนินงานนั้นจะแบ่งเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรก เริ่มตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีหน้าเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนไทยที่ต้องการซื้อบ้าน หรือคอนโดฯ ราคา 2-6 ล้านบาท เพื่อไว้เป็นที่พักตากอากาศ เนื่องจากเป็นระดับราคาที่มีความต้องการสูงมาก โดยปัจจุบันมีสินค้าอยู่ในมือแล้วเกือบ 1,000 ยูนิต โดยคาดว่าในปีแรกจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายของทั้งบริษัท 3,200 ล้านบาทในปี 54 หรือมีอัตราการเติบโต 33%

หลังจากนั้นเฟส 2 ในปี 2555 จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่มีกำลังซื้อคอนโดฯระดับไฮเอ็น ระดับราคา 6 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป และเฟส 3 ในปี 2556 จะเน้นไปที่ลูกค้าท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนจะขยายไปขายโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และวิลล่า ต่อไป

นายภูมิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ภายหลังจากขยายธุรกิจไปสู่พัทยาแล้ว ในไตรมาสแรกปี 54 จะเปิดให้บริการที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนในปี 2556 จะเปิดสาขาที่ จ.ภูเก็ต ทั้งนี้การขยายการให้บริการของบริษัทจะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับจำนวนพนักงานและบุคคลากรที่มีคุณภาพของบริษัท รวมถึงการบริหารจัดการภายในอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีความเชี่ยวชาญด้านการขายและการตลาดในเมื่องท่องเที่ยวสำคัญแล้ว บริษัทเอพีฯ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ต่อไป

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยอดขายของบริษัทฯเติบโต นั้นมาจากพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนไปหันมานิยมอยู่คอนโดมิเนียมใกล้แนว รถไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันเป็นตัวเร่ง ขณะที่ค่าเฉลี่ยของราคาขายคอนโดมิเนียมในเมืองก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และครอบครัวในปัจจุบันมีขนาดเล็กลง โดยอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวหรืออยู่คนเดี่ยวมากขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดคอนโดฯและบ้านแนวราบถือว่ากลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน เพราะเมื่อคนอยู่คอนโดฯ มีครอบครัวหรือมีลูกจะมีความต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเพิ่มขึ้น แต่หากซื้อคอนโดฯขนาด 2 ห้องนอนขึ้นไปจะมีราคาสูงหรือไกล้เคียงกับทาวน์เฮาส์ ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งหันไปซื้อทาวน์เฮาส์หรือบ้านเดี่ยวแทน

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 28 พ.ย. 53