ธอส.เร่งสางหนี้ หวั่นปีนี้ลุกลาม

นายนริศ ชัยสูตร ประธานคณะกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธอส. ได้หารือถึงการแก้ไขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 11% หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ให้ลดลงมากที่สุด เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าในปี 2552 เศรษฐกิจชะลอตัว อาจทำให้เกิดการว่างงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ ดังนั้นธนาคารจะต้องเตรียม
แผนงานไว้ และพยายามดูแลไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ เบื้องต้นธนาคารจะมีการแบ่งเอ็นพีแอลออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นลูกค้าที่เป็น เอ็นพีแอลต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 60-70% ของหนี้ทั้งหมด โดยกลุ่มนี้ธนาคารจะบริหารจัดการเอง เช่น การเร่งรัดติดตามหนี้ การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ กลุ่มที่สอง เป็นเอ็นพีแอลตั้งแต่ 3-5 ปี วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของหนี้ทั้งหมด จะขายให้คนภายนอกไปบริหารจัดการ และกลุ่มที่สาม เป็นเอ็นพีแอลเกิน 5 ปี โดยจะต้อง มาพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากบางรายธนาคารอาจจะไม่สามารถติดตามได้ “ธนาคารจะต้องเตรียมแผนไว้ก่อน เพราะในปีหน้าเศรษฐกิจไม่ดี น่าจะมีผลต่อการชำระหนี้ ดังนั้น ธนาคารต้องพยายามไม่ให้เกิด เอ็นพีแอลใหม่ และสะสางหนี้เน่า ที่มีอยู่ให้ลดเหลือน้อยที่สุด” นายนริศ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่จะช่วยเหลือลูกค้าที่ว่างงาน เนื่องจากได้รับ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนส่งผลต่อการชำระหนี้ โดยอาจจะใช้วิธีการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้

นายนริศ กล่าวว่า ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการจัดทำกรอบ นโยบายการเงินในปี 2552 ต้องมีการระบุ ให้ชัดเจนว่าจะมีการปล่อยกู้เท่าใด“บอร์ดมองว่า ในขณะที่ไม่มีการลงทุน คนไม่ใช้จ่าย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ต้องใช้ธอส. เป็นตัวสวนกระแส ซึ่งเป็นโอกาสของธนาคารที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้คนซื้อบ้านมากขึ้น” นายนริศกล่าว

สำหรับหนี้เอ็นพีแอลของธอส. ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 มีจำนวน 88,617 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2550 มีเอ็นพีแอลจำนวน 57,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% และมีเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมที่ 14.6% สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกปี 2551 ธอส.มีจำนวนสินเชื่อปล่อยใหม่สุทธิ 57,027 ล้านบาท ลดลง 18.2% อย่างไรก็ตาม มีการชี้แจงว่าข้อมูลตัวเลขส่วนหนึ่งอาจมีความคาดเคลื่อน เนื่องจากธอส. นำระบบคอร์แบงกิงซิสเต็มมาใช้

ธอส.มีรายได้จากเงินให้สินเชื่อช่วงไตรมาส 3 ปี 2551 จำนวน 8,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% มีกำไร สุทธิ 950 ล้านบาท ลดลง 24%

ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 05-01-2552