ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
5 มกราคม 2552

ถอดรหัสมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯ เอกชนขานรับคึกคัก โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มเพดานหักลดภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยบ้าน 1 แสน เป็นกว่า 2 แสนบาท/ปี ครอบคลุมถึงบ้านราคา 8 ล้านบาท หักได้หมด รายใหญ่ตีปีกลุ้นเคลียร์สต็อกค้างขายและรอโอนกว่า 5 หมื่นล้านบาท คาดลดแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ชะลอจาก 30% เหลือเพียง 10% ช่วยต่อรอบธุรกิจหมุนเวียนได้ 2.5 เท่า

ปัจจัย บวกที่เริ่มมีมากขึ้น จากการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ การประกาศต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ไปอีก 1 ปี กระทั่งล่าสุด แนวทางลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อการผ่อนบ้าน ที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศเดินหน้ากระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกระลอกหนึ่ง หวังเพิ่มแรงเหวี่ยงให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวเร็วขึ้น ด้วยการเพิ่มเพดาน การนำภาระดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้านมาหักลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 1 แสนบาท/ปี ขึ้นเป็นมากกว่า 2 แสนบาท/ปี ภายใต้เงื่อนไข ต้องเป็นการซื้อบ้านใหม่ในโครงการจัดสรรในปี 2552

"กรุงเทพธุรกิจ" ได้สำรวจความคิดเห็นบรรดาผู้ประกอบการอสังหาฯ พบว่า ทันทีที่มาตรการนี้ถูกประกาศออกมา ได้สร้างกระแสตอบรับ จากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลว่าธุรกิจอสังหาฯ ถือเป็นภาคธุรกิจสำคัญ มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ที่มีส่วนสนับสนุนต่อการเพิ่มรอบให้ธุรกิจทุกภาคส่วน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มอสังหาฯขานรับเชื่อกระตุ้นศก.

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ย้ำว่า ธุรกิจอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก และเปรียบเสมือนธุรกิจต้นน้ำ เป็นตัวแปรต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการจ้างงานในประเทศ เป็นการกระจายรายได้ไปทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยทุก 1 บาทที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในที่อยู่อาศัย จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจ 2.5 เท่า

มาตรการใหม่นี้จะช่วยให้ธุรกิจอสัง หาฯ เดินไปข้างหน้าได้โดยไม่สะดุด หลังจากรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ขยายมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. ปี 2552 เพิ่มไปสิ้นสุดเดือนมี.ค. 2553

การเพิ่มแรงจูงใจดังกล่าว ช่วยขยายฐานลูกค้าที่จะซื้อบ้านให้กว้างขึ้น ที่คาดกันว่าผู้ซื้อบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 7-8 ล้านบาท จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้หากพิจารณามาตรการดังกล่าวที่กำหนดให้เฉพาะผู้ซื้อบ้านใหม่ในปีนี้ มองในมุมผู้บริโภคว่าเป็นการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านใหม่ ที่สามารถนำเอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปหักค่าลดหย่อนภาษีได้ ค่าลดหย่อนที่จะได้กลับคืนมา มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของผู้บริโภคแต่ละราย แต่หากมองในมุมธุรกิจ จะช่วยให้ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการระบายสต็อกบ้าน คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขาย รวมถึงยอดขายล่วงหน้าที่รอโอน (Pre-sale Backlog) ในมือได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถขยายธุรกิจต่อเนื่องได้

รายใหญ่รอเคลียร์สต็อก 5 หมื่นล้าน

โดยบริษัทแสนสิริ มียอดขายล่วงหน้ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า, ส่วนบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ใช้นโยบายสร้างบ้านก่อนขาย มีการวิเคราะห์กันว่า น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวและสามารถปรับตัวเข้ากับภาวะดังกล่าวได้ ดี โดยบล.ทรีนีตี้ ระบุว่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีสต็อกสินค้าที่สร้างเสร็จแล้วไว้ขายเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าคงเหลือ ณ ไตรมาส 3/2551 มีจำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท

ส่วนบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ มียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ ณ ไตรมาส 3/2551 นั้นมีกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดย 80% เป็นคอนโดมิเนียม และในปี 2552 มีกำหนดก่อสร้างเสร็จและโอนให้ลูกค้า 6 โครงการมูลค่า 8,200 ล้านบาท ด้านบริษัทแอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ มียอดขายรอโอนประมาณ 8,832 ล้านบาท โดยจะโอนในปี 2552 ประมาณ 6,840 ล้านบาท ที่เหลือ 1,992 ล้านบาท โอนในปี 2553

บริษัท พฤกษา พร็อพเพอร์ตี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2551 มียอดขายในมือ (backlog) กว่า 1.27 หมื่นล้านบาท ได้ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/2551 ที่ผ่านมา กว่า 5,000 ล้านบาท และในปี 2552 นี้ประมาณ 7,073 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้ในปี 2553

บริษัท มั่นคง เคหะการ มียอดขายรอโอนประมาณ 1,800 ล้านบาท และมีแผนจะเน้นสินค้าคงเหลือในมือที่มีอยู่รวม 5,000 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ศุภาลัย มียอดขายรอโอน กว่า 1.49 หมื่นล้านบาท จะทยอยโอนในปี 2552 ประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยโอนในปี 2553-54 และบริษัท เค ซี พร็อพเพอร์ตี้ มีบ้านพร้อมขายในสต็อกรวมทั้งสิ้น 600 ยูนิตรวมมูลค่า 1,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮ้าส์ 300 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1 ล้านบาท และ บ้านเดี่ยว 300 ยูนิตราคาเฉลี่ยเกือบ 3 ล้านบาท เป็นต้น

มาตรการที่ออกมานี้ นักวิเคราะห์หลายคนบอกว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์มากสุดคือ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เนื่องจากมองว่าปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันกระทบต่อผู้ประกอบการทุกราย แต่ภายใต้วิกฤติที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่จะได้เปรียบทั้งเรื่องแบรนด์ ฐานะทางการเงิน ยิ่งในยุคที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง จะส่งผลให้การตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคหันมาเน้นผู้ประกอบการที่มีชื่อ เสียง และฐานะทางการเงินที่ดี

แนะลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ1%

ด้าน นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า ขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ว่ามาตรการที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ประกาศมานั้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคธุรกิจได้แค่ไหน เพราะยังไม่ทราบว่าผลกระทบที่เกิดจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นที่สหรัฐ อเมริกา จะขยายวงกว้างไปเพียงใด และจะส่งผลกระทบต่อไทยรุนแรงแค่ไหน

"หากมาตรการที่ออกมาได้ผล ผมว่าอย่างน้อยที่บอกว่าอสังหาฯ จะชะลอตัว 30-40% อาจไม่ถึงคือลดลงมาเหลือ 10 % ซึ่งก็ยังถือว่าดี" นายธีระชน กล่าว และว่า มาตรการต่างๆ ที่ได้ออกมาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งกับภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการและกับผู้ที่คิดจะซื้อบ้าน แต่ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ในปี 2552 ที่ว่า ปัญหาใหญ่คือ การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จะยิ่งเข้มงวดมากขึ้น เห็นได้จากธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มเกณฑ์ในการพิจารณาปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อยมาก ขึ้น และเกณฑ์ใหม่ที่ปรับจะยิ่งส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาในการขอสินเชื่อมาก

นายธีระชน ยังกล่าวให้ความเห็นว่า จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าจีดีพี ในช่วงไตรมาส 4/2551 จะติดลบถึง 3% สาเหตุมาจากปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ทุกๆ ส่วนมีการชะลอ ทั้งการผลิต การบริโภค การลงทุน และการส่งออก ผลกระทบดังกล่าวคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 1 และที่ 2

ดังนั้น ภาครัฐจะต้องใช้นโยบายการฉีดยาแรง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พยุงไม่ให้จีดีพี ติดลบไปมากกว่านี้ จำเป็นต้องนำเอานโยบายทางการเงินมาใช้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องหันมาใช้นโยบายการเงินกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P) ลงมาอีกให้เหลือเพียง 1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75% เพื่อกระตุ้นให้มีการนำเงินจากระบบธนาคารออกมาใช้จ่าย เพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ 5 มกราคม พ.ศ. 2552
05 Jan 2009

0 ความคิดเห็น: