กรมที่ดินเล็งกู้เอกชนแคนาดา 5 พันล. พัฒนาฐานข้อมูลรับกม.ภาษีที่ดินฯ

กรมที่ดินลุ้น รัฐบาลเปิดเพดานเงินกู้ 4,500 ล้านบาท พัฒนาระบบสารสนเทศที่ดิน รับกม.ภาษีที่ดินใหม่ ระบุเอกชน 2 รายจากแคนาดาเปิดทางให้กู้

นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน เปิดเผยถึง การพัฒนาระบบสารสนเทศที่ดิน จัดทำฐานข้อมูลแห่งชาติ นั้นยอมรับว่าติดปัญหาเรื่องของงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน ส่วนการขอกู้เงินจากต่างประเทศรวมถึงการกู้เงินจากธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) โดยการรับรองจากรัฐบาลนั้น ก็ทำได้ค่อนข้างยากเนื่องจากติดปัญหาเรื่องเพดานเงินกู้ หรือการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาล ซึ่งก็คงนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อหาทางออก เนื่องจากว่าขณะนี้มีเอกชน 2 รายจากแคนาดาที่รัฐบาลแคนาดารับรอง 2 บริษัทคือ บริษัท Canadian Commercial Corporation หรือCCC และบริษัท MDA พร้อมให้เงินกู้วงเงิน 4,500 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ย 1-2%และมีเงื่อนไขต้องจ่ายคืน%ต่อปี หากสามารถกู้ได้เชื่อว่าจะทำให้ศูนย์ข้อมูลแล้วเสร็จภายใน 5 ปี

การจัดทำระบบฐานข้อมูลศูนย์ข้อมูลที่ดินแห่งชาติ จะจัดทำขึ้นมาเพื่อพัฒนา ระบบการจัดเก็บภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพ โดยจะใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายที่ สามารถดูฐานข้อมูลที่ดินทั้งระบบของประเทศได้หมด ซึ่งนอกจากจะใช้ประโยชน์ใน การจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อรองรับกับพรบ. ภาษีทีดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับหลักการไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินตามกฎหมายเดิมคือ ภาษีโรงเรือนที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างได้เพียงปีละ.5หมื่นล้านบาทคิดเป็น 28%ของจำนวนฐานที่ต้องจ่ายทั้งหมด แต่หากทางกรมสามารถพัฒนาฐานข้อมูลดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ บวกกับฐานภาษีใหม่ที่เกิดจากกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหากกฎหมาย มีการบังคับใช้รวมถึงมีการปรับราคาประเมินที่ดินใหม่ ที่คาดว่าฐานภาษีที่จะ ได้เพิ่มมาเป็นอีกเท่าตัว เชื่อว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านถึง1 แสนล้านบาทหรือจัดเก็บได้เกือบ 100 % %

พร้อมกันนี้นายอนุวัฒน์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศที่ดิน เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมผ่าน ออนไลน์ได้ ซึ่งทางกรมที่ดินได้มีการว่าจ้างให้ บริษัทสามารถคอมเทค เป็นผู้วางระบบให้ ใน 4 จังหวัดนำร่องคือสงขลา หนองคาย อุบลราชธานี วงเงิน 730 ล้านบาทนั้นขณะนี้งานมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ15%

ทั้งนี้หากจะให้มีการเชื่อมโยงทั้งประเทศโครงการนี้จะต้องใช้เงิน ประมาณ12,000 ล้านบาทซึ่งจะเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารโลก คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2554

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : 22 เม.ย.53