AREA เผยผลสำรวจตลาดบ้านพักตากอากาศ ณ มิ.ย.52 พบ หัวหินเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งใน ขณะที่ภูเก็ตติดอันดับราคาเฉลี่ยแพงสุด
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้จัดการสำรวจวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในประเทศไทย ณ เดือนมิถุนายน 2552 พบว่า มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศอยู่อย่างหนาแน่นในพื้นที่ตากอากาศหลักของ ประเทศ 4 พื้นที่คือ พัทยา-ระยอง หัวหิน-ชะอำ สมุย และภูเก็ต โดยในการนี้สำรวจได้รวมกันถึง 365 โครงการ รวม 24,215 หน่วย มีมูลค่ารวมกันถึง 254,986 ล้านบาท และมีราคาเฉลี่ยสูงถึง 10.530 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งแพงกว่าราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีราคาประมาณ 3.7 ล้านบาท (ตัวเลขเฉพาะโครงการที่เปิดตัวใหม่ ณ 5 เดือนแรกของปี 2552)
ภูเก็ตมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศรวมมูลค่าสูงสุดถึง 100,717 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของทั้งหมด และมีราคาอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศเฉลี่ยสูงสุดถึงหน่วยละ 21.739 ล้านบาท หรือประมาณ 620,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้อยู่ในโครงการตากอากาศทั้งหมด 123 โครงการ
หัวหินนับว่ามีโครงการอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศมากที่สุดถึง 133 โครงการ รวมจำนวนหน่วยถึง 9,804 หน่วย แต่ส่วนมากเป็นโครงการขนาดเล็ก จึงมีค่าเฉลี่ยราคาขายต่ำสุดคือ เพียง 5.852 ล้านบาท หัวหินนับเป็นพื้นที่ที่กลุ่มผู้ซื้อเป็นกลุ่มคนไทยมากกว่ากลุ่มชาวต่าง ประเทศ
สำหรับพัทยา แม้มีโครงการตากอากาศไม่มาก คือมีเพียง 63 โครงการ แต่กลับมีมูลค่าการพัฒนาสูงเป็นอันดับสองรองจากภูเก็ต คือมีมูลค่า 76,220 ล้านบาท โครงการในพัทยามักเป็นโครงการอาคารชุดที่มีจำนวนหน่วยขายมาก หน่วยขายหน่วยหนึ่งขายเป็นเงินประมาณ 8.797 ล้านบาท และกลุ่มผู้ซื้อเป็นชาวต่างประเทศที่มีลักษณะหลากหลายทางเชื้อชาติ
ส่วนสมุยนั้น แม้มีจำนวนโครงการน้อยที่สุด คือมีเพียง 46 โครงการ รวม 1,114 หน่วย แต่ว่าแต่ละหน่วยนั้นมีราคาเฉลี่ยสูงถึง 18.557 ล้านบาท หรือ 530,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จึงอาจกล่าวได้ว่าสินค้าตากอากาศในภูเก็ตและสมุยนั้น เน้นขายสำหรับผู้มีรายได้สูงจากประเทศตะวันตกเป็นสำคัญ
หากพิจารณาถึงสถานการณ์การขายนั้น ขณะนี้ยังมีหน่วยขายรอการขายรวมกันประมาณ 11,509 หน่วย โดยขายไปแล้ว 12,706 หน่วย ภาพรวมของการขายในปี 2552 อาจลดลงจากเดิมบ้าง ทั้งนี้เพราะปัญหาการตกต่ำของภาวะเศรษฐกิจระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศไทย ซึ่งทำให้ต่างชาติเกิดการชะงักงันบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นผลส่วนน้อย ยกเว้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อาจมีความรู้สึกไม่มั่นใจบ้าง นอกจากนี้ยังมีปัญหาโรคระบาดไข้หวัด ซึ่งส่งผลต่อการชะงักงันของการตากอากาศในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากตัวเลขการเปิดตัวโครงการในปี 2551 จะพบว่า ยังมีความคึกคัก ซึ่งถือว่าคึกคักว่าปี 2552 โดยในรายละเอียดกลับพบว่า พัทยามีการเปิดตัวในปี 2551 มากที่สุดถึง 2,506 หน่วย รวมมูลค่า 18,176 ล้านบาท จากที่มีการเปิดตัวทั้งหมด 5,060 หน่วย รวมมูลค่า 41,016 ล้านบาท
ในความเป็นจริง อสังหาริมทรัพย์ตากอากาศในประเทศไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจลงทุนของต่าง ชาติอยู่เป็นอันมาก ‘ยี่ห้อ’ ของภูเก็ต สมุย และแหล่งตากอากาศอื่น ๆ ยังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ยกเว้นสถานที่ตากอากาศตามป่าเขา ซึ่งได้รับความสนใจจากต่างชาติน้อยกว่า หากได้รับการส่งเสริมด้วยดี การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ ยังจะมีอนาคตอีกมาก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในประเทศไทยก็คือ การไม่มีกฎหมายรองรับ และผู้ซื้อและผู้ขายยังทำการขายอย่างผิดกฎหมาย เช่น ให้ทำสัญญา 90 ปี ซึ่งไม่ได้มีผลรับรองตามกฎหมาย หรือการจดทะเบียนนิติบุคคลมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น รวมทั้งยังทำให้เกิดช่องทางการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการได้ และเป็นการสร้างปัญหาการจัดการการใช้ที่ดินกับชาวต่างชาติในอนาคต
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 02-07-52
ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com
...
2 กรกฎาคม 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น