ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
20 เมษายน 2552

วงการรับสร้างบ้านแห่ปรับกลยุทธ์หวังประคองธุรกิจอยู่รอดถึงสิ้นปี "วินด์มิลล์ อาคิเท็ค" เปิดตัวธุรกิจ บริการออกแบบพัฒนาบริหารโครงการครบวงจรให้กับเจ้าของที่ดิน นำร่องโครงการแรกคอนโดฯพร้อมสระย่านพัทยา "ดิเอ็มเพอเร่อร์เฮ้าส์" รีวิชั่นแตกไลน์รับงานออกแบบก่อสร้างทั่วไปในสไตล์คลาสสิก "ปทุมดีไซน์ฯ" คิดแตกต่างเปิดตัวแฟรนไชส์แบรนด์ "พีดีเฮ้าส์" วาดเป้า 5 ปีผุดเพิ่มครบ 50 สาขา เน้นตลาดต่างจังหวัด-ข้าราชการ เซ็กเมนต์บ้านราคา 1-3 ล้านเป็นหลัก


บรรยากาศ การเมืองของประเทศไทย ที่มีภาวะร้อนแรงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ถึงแม้รัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ระดับหนึ่งแต่วงการธุรกิจยังมี ความรู้สึกได้ว่าการเมืองยังไม่สงบ ยังมีระเบิดเวลาที่รอปะทุได้ทุกเมื่อ ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อฟันฝ่าภาวะเศรษฐกิจให้ตลอดรอดฝั่ง ในช่วงเวลาอีก 9 เดือนที่เหลือของปี 2552 ยิ่งเมื่อโฟกัสไปที่ธุรกิจรับสร้างบ้านพบว่ามีการปรับกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อ รักษายอดขาย

นายสมศักดิ์ โรจน์ดรงค์กุล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท วินด์มิลล์ อาคิเท็ค จำกัด ในเครือ "อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากประสบการณ์ ที่บริษัททำงานออกแบบให้กับโครงการคอนโดมิเนียมไอดีโอและบ้านจัดสรร (บ้านเดี่ยว) ของอนันดาฯเป็นจำนวนกว่า 20 โครงการ บริษัทตัดสินใจแตกไลน์ธุรกิจจากการรับปลูกสร้างบ้านบนที่ดินมาสู่ธุรกิจ"ดี เวลอปเมนต์เซอร์วิสโพรไวเดอร์" หรือเป็นผู้ให้บริการออกแบบโครงการศึกษาความเป็นไปได้ พัฒนา บริหารงานขาย และทำการตลาดแบบครบวงจร โดยใช้วิธีจับมือกับเจ้าของที่ดินที่สนใจนำที่ออกมาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่า เพิ่ม

ล่าสุดอนันดาฯได้ประเดิมธุรกิจดีเวลอปเมนต์เซอร์วิสโพ รไวเดอร์งานแรก คือ โครงการคอนโดฯ Luxury Bliss Pattaya (พัทยา) รูปแบบเป็นอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 43 ยูนิต ราคายูนิตละ 7-20 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท เน้นจับกลุ่มเป้าหมายคนไทยที่ต้องการซื้อไว้เพื่อพักอาศัยเป็นครอบครัว จุดเด่นคือทุกยูนิตมีสระว่ายน้ำขนาดย่อมในตัว ตั้งเป้าว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายใน 1 ปี โดยบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจดีเวลอปเมนต์เซอร์วิสโพรไวเดอร์ 2 ส่วน คือ ค่าธรรมเนียมการบริหารโครงการ และ 2) เปอร์เซ็นต์จากยอดขายคอนโดฯ ขณะเดียวกันภายในปีนี้จะมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทตัวแทนนายหน้า อสังหาริมทรัพย์ 3 ราย และบริษัทรับสร้างบ้านอีก 5 ราย เพื่อพัฒนาธุรกิจร่วมกัน เป้าหมายเพื่อรองรับการสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต เพราะธุรกิจรับสร้างบ้านมีข้อจำกัดในแง่การควบคุมคุณภาพ จึงไม่สามารถ รับงานจำนวนมากๆ ได้ในแต่ละปี

"ข้อจำกัดของธุรกิจรับสร้างบ้านคือ ต้องรู้จักบริหารวอลุ่ม ถ้าควบคุมคุณภาพไม่ได้ตามมาตรฐานอาจเสียชื่อเสียงได้ ส่วนตัวมองว่าการมียอดขายจากธุรกิจรับสร้างบ้านในระดับ 500 ล้านบาทต่อปี ถือว่าสูงพอสมควรหากเกินกว่านี้จะควบคุมคุณภาพลำบาก"

นายสุรัตน์ ชัย กึงฮะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิเอ็มเพอเร่อร์เฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจรีวิชั่นองค์กรใหม่เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 จากที่ผ่านมาวิชั่นของบริษัทคือเป็นผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านในสไตล์คลาสสิก ปรับเปลี่ยนเป็นการก้าวไปสู่ผู้นำงานออกแบบและสร้างสถาปัตยกรรมในสไตล์ คลาสสิก เท่ากับเป็นการขยายไลน์ธุรกิจและขอบเขตการรับงานให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการขยายงานครั้งนี้ยังเน้นเฉพาะงานออกแบบหรือก่อสร้างในสไตล์คลาสสิก ซึ่งต้องอาศัยทีมงานที่มีความชำนาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาซึ่งโดยเฉลี่ยบริษัทสามารถรับงานก่อสร้างทั่ว ไปได้ภายในราคาค่าก่อสร้างประมาณตารางเมตรละ 2 หมื่น-2 หมื่นบาทเศษ

สำหรับ อาคารต่างๆ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมาย อาทิ โบสถ์ หอประชุม พิพิธภัณฑ์ อาคารสาธารณะ ฯลฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแบบงานก่อสร้างโบสถ์สไตล์คลาสสิกแห่งหนึ่งเพื่อ ตัดสินใจว่าจะร่วมเสนอราคาแข่งขันหรือไม่ รวมถึงให้ความสนใจจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อแข่งขันเสนอ งานโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ในย่านถนนเกียกกาย

นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า สรุปยอดขายไตรมาสแรกของบริษัท พบว่ายอดขายในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลหายไปประมาณ 50% เทียบกับไตรมาสแรกของ ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทมียอดขายจากสาขาต่างจังหวัด 3 สาขา คือ สาขาโคราช ขอนแก่น ชลบุรี เข้ามาช่วยทำให้สามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับ นโยบายของบริษัทในการทำตลาด 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ มุ่งเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีจำนวน 11 สาขา ปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 4 สาขา รวมเป็น 15 สาขาภายในสิ้นปี โดยสาขาที่เปิดใหม่ ได้แก่ ภาคกลางที่ จ.สระบุรี ภาคอีสานที่ จ.อุดรธานี ภาคเหนือที่ จ.พิษณุโลก และอีก 1 สาขาอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมระหว่าง จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร หรือสมุทรสงคราม

"ผลประกอบการไตรมาสแรกมีนัยสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ตัวเลขที่หายไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลแสดงให้เห็นว่าตลาดหดตัว 2.ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงเพราะกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นศูนย์รวมบริษัทรับ สร้างบ้าน ทำให้มีการแข่งขันสูง ทั้งในเรื่องราคาและคุณภาพ"

นาย สิทธิพรกล่าวต่อว่า การปรับตัวของพีดีเฮ้าส์จึงเน้น 2 ทิศทางหลัก คือ 1.การหันมาเจาะตลาดกลุ่มข้าราชการให้มากขึ้น เนื่องจากประเมินว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจน้อยกว่าภาคเอกชน แต่ในด้านกำลังซื้ออาจจะไม่สูงมากนัก ดังนั้นตลาดรับสร้างบ้านของกลุ่มนี้จะเน้นเจาะบ้านราคา 1-3 ล้านบาทเป็นหลัก

2.ทิศทางที่มุ่งเน้นขยายสาขาในต่างจังหวัดให้มาก ที่สุดเพื่อรักษาสัดส่วนรายได้หรือยอดขายให้เป็นไปตามเป้า โดยบริษัทมีความพร้อมในการเปิดตัวแฟรนไชส์รับสร้างบ้านแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ "พีดีเฮ้าส์" โดยสาขาสระบุรีที่ได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา นับเป็นสาขาในระบบแฟรนไชส์ที่อยู่ในโครงการนำร่อง

เป้า หมายของการขยายสาขาในระบบแฟรนไชส์ คือ ระหว่างปี 2552-2556 คาดว่าจะสามารถขยายสาขาเพิ่มอีก 39 สาขา รวมปัจจุบันที่มีอยู่ 11 สาขา คาดว่าจะทำให้บริษัทมีสาขาทั้งสิ้นรวม 50 สาขาภายใน ปี 2556 ในเชิงการวางแผนยิ่งมีสาขาเพิ่มมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้บริษัทบริหารยอดขายและ ต้นทุนได้ดีขึ้นเท่านั้น

ทั้งนี้ "แฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์" ผู้สนใจลงทุนจะต้องมีงบประมาณในการลงทุนตก 2-2.5 ล้านบาทต่อ 1 สาขา (รวมค่าธรรมเนียมแรกเข้าหรือเอนทรานซ์ฟี 4 แสนบาท และเงินทุนหมุนเวียน 3-5 แสนบาท) ประมาณการระยะเวลาคืนทุนภายใน 2 ปี ภายใต้ยอดขายขั้นต่ำเดือนละ 1 ล้านบาท หรือปีละ 12 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี แบ่งเป็น 5+5+5 ปี

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 20-04-52

0 ความคิดเห็น: