ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
18 เมษายน 2552

มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยต้องการถือครองอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยการซื้อหาไว้เป็นเจ้าของต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก

การ แปลงจากสินทรัพย์มาเป็นตัวเงินก็ทำได้ไม่ง่ายนัก ประกอบกับการซื้อขายยังมีต้นทุนในการดำเนินการสูง นี่จึงเป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่สำคัญในการตัดสินใจเลือกถือครองของนักลง ทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) คล้ายกับ Real Estate Investment Trust (REIT) ในต่างประเทศ ซึ่งให้โอกาสนักลงทุนในการเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่า ในขณะที่มีความคล่องตัวมากกว่าการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จริงๆ นอกจากนั้น ยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนในระดับสูง

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) เป็นเครื่องมือลงทุนรูปแบบหนึ่ง เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2546 แตกต่างจากกองทุนรวมประเภทอื่นๆ ตรงที่จะระดมเงินจากนักลงทุนแล้วนำไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงาน โรงงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามบิน ที่อยู่อาศัย อพาร์ตเมนต์ ฯลฯ หรือหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่กฎหมายกำหนด

พูดง่ายๆ ว่า แทนที่เราจะต้องไปลงทุนสร้างอาคารสำนักงานหรือโรงงานขึ้นมาเอง ก็สามารถเป็นผู้ถือครองหน่วยลงทุน แล้วมีมืออาชีพมาคอยบริหารจัดการนำเงินไปลงทุนให้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็จะนำมาปันผลให้ตามสัดส่วนที่ลงขัน เรียกว่าเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางอ้อมก็ว่าได้

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะถูกจัด ตั้งขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ประเภท “กองทุนปิด” โดยนักลงทุนสามารถเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนได้ในช่วง IPO แต่หลังจากที่หมดช่วงนี้ไปแล้ว นักลงทุนจะไม่สามารถซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวจาก บลจ.ได้อีก แต่เพื่อเป็น การเพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน ทาง บลจ.จะนำกองทุนดังกล่าวไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้น นักลงทุนจึงสามารถเข้าไปซื้อขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์เพื่อซื้อขายได้เหมือนกับการซื้อขายหุ้นเลยค่ะ

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีทั้งประเภทที่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์มา เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เลย (Free Hold) และประเภทที่ไปเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Lease Hold) คือไม่ได้เป็นเจ้าของ เป็นแต่เพียงผู้มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ตลอดช่วงอายุสัญญาเช่า สุดท้ายเมื่อครบกำหนดก็ต้องคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของไป ดังนั้น นักลงทุนจะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่ากองทุนที่สนใจเป็นแบบ “ซื้อ” หรือ “เช่า” อสังหาริมทรัพย์ เพราะหากเป็นกองทุนประเภทที่ลงทุนในสิทธิการเช่า ระยะเวลาของสัญญาเช่าที่เหลืออยู่ จะมีผลกับราคาของหน่วยลงทุนและรายได้ของอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย และเมื่อสิทธิการเช่าของกองทุนหมดลง ก็จะต้องคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวกลับคืนไปให้กับเจ้าของ ไม่สามารถหาประโยชน์บนอสังหาริมทรัพย์นั้นได้อีกต่อไป

สำหรับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีโอกาส ได้รับจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ผลตอบแทนจากรายได้ที่เกิดจากการดำเนินงานของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ อาทิ เงินปันผล ค่าเช่า หรือดอกเบี้ย เป็นงวดๆ โดยกองทุนอสังหาริมทรัพย์มีข้อกำหนดให้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิประจำปี พบว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกในจำนวน 21 กองทุนของไทย ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในรูปเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 12% สูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีที่ 2.0% หรืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ที่ 1.75% และอีกรูปแบบ คือ 585;ำไรจากส่วนเกินทุน (Capital Gain) ที่อาจเกิดจากการซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ซื้อขาด (Free Hold) ซึ่งผู้ลงทุนอาจคาดหวังกำไรจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคา

นอกจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะมีข้อดีตรงที่สภาพคล่องในการ ซื้อขายสูงกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปเพราะมีการจดทะเบียนเข้า ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว การลงทุนในกองทุนประเภทนี้ยังมีข้อดีและประโยชน์อีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้อัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างมาก การจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำกว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยตรง และยังเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทอื่นๆ ด้วย

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2552 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกำหนดการแยกกลุ่มหลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ออกจากหมวดธุรกิจ (Sector) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property Development: PROP) ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property and Construction) โดยปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีจำนวนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนซื้อขายบนกระดานหลักทั้งหมด 21 หลักทรัพย์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมกว่า 5 หมื่น ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 2% ของมูลค่าตามราคาตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2552) ซึ่งถือได้ว่าหลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์อีก ประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และขนาดของตลาดยังมีโอกาสเติบโตไปได้อีก เนื่องจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือที่ใช้ประโยชน์ได้เป็น อย่างดีในการระดมทุนของผู้ประกอบธุรกิจแทนการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ยกตัวอย่าง ขนาดของตลาด REIT ของประเทศญี่ปุ่นที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หรือของสิงคโปร์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 6 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การแยกกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สามารถเห็นภาพรวมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสามารถค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการลงทุนเกี่ยวกับหลักทรัพย์ประเภทนี้ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจ สำหรับใครหลายคน ในต่างประเทศ REIT หรือ Property Fund มีมูลค่าตลาดสูงมาก เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่นักลงทุนผู้นั้น ไม่สามารถซื้อหาได้เอง แต่ที่สำคัญ ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เรียนรู้และทำความเข้าใจเครื่องมือลงทุนอย่างรอบคอบทั้งในแง่ของประโยชน์และ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้การลงทุนบรรลุความวัตถุประสงค์และต้องการของท่านมากที่สุดค่ะ

หากท่านสนใจและมองหาทางเลือกให้เงินออมในภาวะดอกเบี้ยต่ำ มาเปลี่ยนใจใช้กองทุนรวมในงาน SET in the city Zone@ Money Expo 2009 ณ Meeting Room 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ S-E-T Call Center 0 2229 2222 หรือ www.set.or.th

ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 14-04-52

0 ความคิดเห็น: