ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
10 มกราคม 2552

เปิด สถิติ สคบ.เรื่องร้องเรียนซื้อบ้าน ไม่ได้บ้านยังล้นสำนักงาน เผยปัญหา "กู้ ไม่ผ่าน-สร้างไม่เสร็จ-เลี่ยงจัดสรร" ยังท็อปฮิต เตือนผู้ซื้อบ้านอ่านสัญญาให้ละเอียด ประเด็น "กู้ไม่ผ่าน-กู้ได้ไม่เต็มวงเงิน" กลายเป็นกับดักเปิดช่องว่างให้ผู้ประกอบการยึดเงินจอง-เงินดาวน์มาแล้ว ล่าสุดคดีทะลัก 96 ราย คาดแนวโน้มปี"52 ปัญหาลักไก่แบบนี้จะสูงต่อเนื่อง

แหล่ง ข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการเก็บสถิติรับเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคเกี่ยวกับสัญญาและอสังหาริม ทรัพย์ผ่าน สคบ.ในรอบปีงบประมาณ 2551 ที่ผ่านมา (ต.ค.2550-ก.ย.2551) พบว่ามีจำนวน 2,190 ราย ลดลงประมาณ 10% จากปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-ก.ย.2550) ที่มีเรื่องร้องเรียนจำนวน 2,470 ราย

ทั้งนี้ สำหรับสถิติเรื่องร้องเรียนรอบปีงบประมาณ 2551 สามารถแบ่งแยกออกเป็น 6 กลุ่มคือ 1) กรณีสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน 830 ราย 2) กรณีอาคารชุดและอาคารพาณิชย์ 328 ราย 3) กรณีเช่าพื้นที่ เช่าห้องพัก และเช่าอาคาร 110 ราย 4) กรณีที่ดิน 38 ราย 5) กรณีสัญญาว่าจ้างก่อสร้างบ้าน 56 ราย และ 6) กรณีสินค้าและบริการ อาทิ บัตรเครดิต รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ 828 ราย

จากสถิติดังกล่าว สังเกตว่าประเด็นปัญหาที่ได้รับร้องเรียนเข้ามาเป็นอันดับต้นๆ ประกอบด้วย 1) ปัญหากู้ไม่ผ่านหรือกู้ได้ไม่เต็มวงเงินที่ขอกู้นำไปสู่ปัญหาผู้ประกอบการ ยึดเงินจอง โดยมีจำนวนผู้ร้องเรียนกรณีนี้ถึง 96 ราย ซึ่งถือว่าสูงผิดปกติ 2) มีการก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ และ 3) บริษัทหลีกเลี่ยงกฎหมายจัดสรรที่ดินและกฎหมายควบคุมอาคาร โดยเฉพาะปัญหากู้ไม่ผ่านหรือกู้ได้ไม่เต็มวงเงินฯ เป็นประเด็นที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งกรณีสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินและกรณีอาคารชุดและอาคารพาณิชย์ โดยมีจำนวน 76 ราย และ 20 รายตามลำดับ

ประเด็นที่น่าสนใจคือ เริ่มมีปรากฏการณ์ "ยึดเงินจอง" หรือบ่ายเบี่ยงไม่คืนเงินจองเนื่องจากปัญหาการอนุมัติวงเงินกู้ของสถาบันการ เงิน นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา สคบ. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่มีเรื่องร้องเรียนปัญหากู้ไม่ผ่านหรือกู้ได้ไม่เต็มวงเงินเริ่มมี เข้ามาค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างๆ เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย และเท่าที่ทราบในปีนี้ธนาคารทุกแห่งยังคงยึดนโยบายตามเดิม ดังนั้นจึงอยากแนะนำ ผู้บริโภคให้ตรวจสอบข้อความที่ระบุในสัญญาอย่างรอบคอบ

เพราะ ลักษณะปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนส่วนใหญ่มักเกิดจากการ "กู้ได้ไม่เต็มวงเงิน" มากกว่า "กู้ไม่ผ่าน" ดังนั้นถึงแม้ในสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่าผู้บริโภคจะได้รับคืนเงินจองหรือ เงินมัดจำในกรณีกู้ไม่ผ่าน แต่ไม่ได้หมายความรวมถึงกรณีกู้ผ่านแต่ได้ไม่เต็มวงเงิน เช่น ยื่นกู้ 1 ล้านบาท แต่แบงก์อนุมัติ 8 แสนบาท เป็นต้น

"จุดอ่อนของปัญหาลักษณะ นี้คือ ผู้ประกอบการบางรายอาจระบุในสัญญาว่า ยินดีคืนเงินจองกรณีกู้ไม่ผ่าน แต่ปัญหาคือ ผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่จะกู้ผ่าน แต่ได้ไม่เต็มวงเงินที่ขอ ดังนั้น การตีความจึงเกิดปัญหาได้ เพราะผู้บริโภคตีความว่าเป็นการกู้ไม่ผ่าน แต่ผู้ประกอบการตีความว่ากู้ผ่านแต่ได้ไม่เต็มวงเงิน ดังนั้นจึงมีสิทธิตามสัญญาที่จะริบเงินจองหรือเงินมัดจำได้ ปัญหาไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะการไม่คืนเงินจองจะรวมถึงเงินดาวน์ด้วย ซึ่ง สคบ.พยายามไกล่เกลี่ยแต่บางรายก็จะยินยอมคืนเงินเพียงครึ่งหนึ่งของเงินจอง และเงินดาวน์ แต่ก็มีบางรายที่ต้องส่งคดีขึ้นถึงการพิจารณาของศาล"

ส่วน เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จถือเป็นอีกปัญหาที่น่า เป็นห่วง โดยนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 ที่ผ่านมา สคบ.ได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับคอนโดมิเนียม ที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจาก 1) เป็นคอนโดฯที่ไม่ผ่านการจัดทำรายงาน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (สวล.) จึงไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ และ 2) สถาบันการเงินยุติการปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการเนื่องจากมียอดขายต่ำกว่า เป้า

อย่างไรก็ตาม หากโครงการนั้นๆ มีแนวโน้มก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด มีคำแนะนำว่าผู้บริโภคควรมีหนังสือไปยัง ผู้ประกอบการเพื่อแจ้งความต้องการหยุดพักการจ่ายเงินดาวน์เพื่อใช้เป็นหลัก ฐานต่อไป ไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายละเมิดสัญญาหากว่าผู้บริโภคผิดนัดชำระเงินติดต่อกัน 3 เดือน โดยไม่แจ้งให้ผู้ประกอบการรับทราบ

นายพิฆเนศกล่าวด้วยว่า ถ้าพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจซบเซามีความเป็นไปได้ว่าสถิติเรื่องร้องเรียนในปี นี้อาจกลับมาเพิ่มขึ้นสูง สะท้อนจากสถิติเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสัญญาและอสังหาริมทรัพย์ในเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2551 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 90 ราย เป็น 135 ราย โดยคาดว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการขอกู้ไม่ผ่านและก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ จะยังคงเป็นประเด็นปัญหาอันดับต้นๆ

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 08-01-2552

0 ความคิดเห็น: