วิกฤติซับไพร์ม และวิกฤติเลแมน บราเดอร์ส วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐล้ม เป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลสหรัฐ พยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ที่เริ่มเห็นเค้าลางมาตั้งแต่ปี 2543
ต่อมาเผชิญเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ทำให้เกิดภาวะชะลอการลงทุน เป็นเหตุให้เศรษฐกิจขาดสภาพคล่อ ขาดเงินทุนหมุนเวียนในระบบ ปัญหานี้มิได้เกิดขึ้นเพียงในสหรัฐเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลก
ธนาคาร กลางของสหรัฐ(เฟด) และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงได้ออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยบนสมมติฐานที่ว่า ..เมื่อการฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยลง ประชาชนก็จะถอนเงินออกไปใช้จ่ายและลงทุน และเช่นเดียวกันเมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำลง ประชาชนและนักลงทุนก็จะกู้เงินไปลงทุนมากขึ้น
เมื่อมีการลงทุนมากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่ม ก็จะเกิดสภาพคล่องทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ ขณะนั้นเห็นได้ชัดว่ามาตราการนี้ถูกต้อง เป็นยาดีที่คนป่วยกินแล้วหายไข้ แต่ตอนท้ายมารู้ตัวอีกทีว่ายาที่รับเข้าไปมีมีผลข้างเคียง เมื่อมีอาการรับพิษ“ซับไพร์ม”
สำหรับบ้านเราปัญหายังห่างไกลจาก วิกฤติซับไพร์ม ตามคำยืนยันของ กิตติ พัฒนพงษ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ย้ำว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคไทย ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัย ส่วนซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือลงทุนมีเพียงส่วนน้อย
ที่สำคัญการปล่อยสินเชื่อบ้านของ สถาบันการเงินในไทย เป็นเงินที่ได้มาจากแหล่งเงินฝาก อีกทั้งสถาบันการเงินของไทย มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาก แม้ธนาคารแต่ละแห่งจะจัดโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% แต่ในความเป็นจริงแล้วธนาคารจะคัดเลือกลูกค้าชั้นดีซึ่งแทบไม่มีความเสี่ยง เลย
"ปัญหาทำนอง ซับไพร์ม จึงคงไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันธนาคารที่ให้สินเชื่อบ้านมีความเข้มงวดอยู่แล้ว" กิตติ กล่าวพร้อมเตือนว่า ..อย่าคิดว่าฝรั่งเก่งกว่าคนไทย หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเชิงนโยบาย โดยเป็นการก็อปปี้จากเมืองนอกมา จึงต้องระวัง !
อีกประเด็นคือ ไทยยังไปไม่ถึงโอกาสที่เกิดปัญหาได้ เนื่องจากความพยายามจะผลักดัน ให้มีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ หรือการทำ Securitization ยังไม่สำเร็จนัก ที่ผ่านมาได้ดำเนินการผ่านโครงการจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Secondary Mortgage Corporation SMC : บตท.) ซึ่งยังทำในวงเงินไม่มาก
"หลายฝ่ายจะออกมาบ่นทำนองว่า แบงก์เข้ม ตรวจข้อมูลละเอียด เข้มไปกว่านี้ก็ไม่ต้องทำธุรกิจกันแล้ว แต่พอเกิดวิกฤติที่อเมริกา วันนี้ต้องดีใจด้วยซ้ำว่าแบงก์ทำถูกแล้ว" กิตติ กล่าวพร้อมฝากถึงผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านอยู่อาศัย และต้องการใช้บริการสินเชื่อธนาคารว่า ลูกค้ากู้บ้านต้องทำใจ และก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน ก็ต้องมีวินัยทางการเงินต้องรู้จักการออม
ขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวทำนองเดียวกันว่า คนซื้อบ้านจะต้องเตรียมรับมือ แบงก์คุมเข้มปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้น ป้องกันปัญหาหนี้เน่า (เอ็นพีแอล) ซึ่งแนวโน้มการแข่งขันปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสถาบันการเงิน จะไม่ใช้วิธีลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกันในการพิจารณาสินเชื่อแก่ลูกค้า ก็จะละเอียดมากขึ้น แม้ว่าจะใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อแบบเดิมก็ตาม
สำหรับธอส.จะลงลึกในรายละเอียดมากยิ่ง ขึ้น เฉพาะในเรื่องรายได้ จะมีการตรวจสอบละเอียดว่าถูกต้องหรือไม่ รายได้ที่มีนั้นมาจากไหน หรือ แจ้งสูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
ที่มา : กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์
ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com
...
15 มกราคม 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น