กคช.ขอ3หมื่นล.ฟื้นบ้านเอื้อฯ ชงปล่อยกู้คนจนดอกคงที่ 30ปี

กคช.ขอรัฐอัดฉีด 3 หมื่นล้านบาท เร่งสร้างบ้านเอื้ออาทรค้างสต๊อก 1.2 แสนหลัง กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมชงตั้งกองทุน 5 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้คนจนซื้อบ้าน

นายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิเผยว่า ได้เสนอแผนแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทรให้รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณา โดยจะปรับลดจำนวนหน่วยสร้างเหลือ 2.8 แสนหน่วย จาก 3 แสนหน่วย และต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบันมีบ้านเอื้ออาทรที่สร้างเสร็จแล้ว 1.6 แสนหน่วย และจะต้องก่อสร้างให้เสร็จอีก 1.2 แสนหน่วยทั่วประเทศ หากสามารถผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าต่อได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการก่อสร้างได้อีกทางหนึ่ง

“โครงการบ้านเอื้ออาทรคงจะต้องเดินหน้าต่อ เพราะได้ผ่านมาเกินครึ่งทางไปแล้ว หากล้มเลิกไปผู้ที่ซื้อไว้จะเดือดร้อน จึงมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะเข้ามาสานต่อให้จบ แม้จะมาจากคนละขั้วกับรัฐบาลที่เริ่มโครงการบ้านเอื้ออาทรก็ตาม” นายสุชาติ กล่าว

ทั้งนี้ กคช.ได้เสนอแผนพลิกฟื้น กคช. ซึ่งปัจจุบันมีภาระหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรอยู่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท นอกจากการขอเสนอปรับลดจำนวนจาก 3 แสนหน่วย เหลือ 2.8 แสนหน่วย ยังขอเสนอเงินชดเชยจากภาระดอกเบี้ย จากการยืดเวลาการก่อสร้างของผู้รับเหมา การปรับเงื่อนไขการขาย เช่น การขอ ปรับขึ้นหรือลดราคาบ้านในแต่ละทำเล การขอให้ซื้อได้มากกว่า 1 หน่วย ขอให้ โอนสิทธิได้ก่อน 5 ปี การเสนอขายยกโครงการ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้มีการจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำประมาณ 2-5 หมื่นล้านบาท สำหรับให้ผู้มีรายได้น้อยกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ 100% ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 30 ปี ที่ 3-4% เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

“เรื่องดังกล่าวเป็นความตั้งใจของกคช. ที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นในโอกาสที่ดำเนินการมาครบ 36 ปี โดยจะเสนอให้กระทรวงพิจารณา พร้อมกับแผนพลิกฟื้นกคช. เพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี โดยที่กระทรวงการคลังซึ่งเป็นเจ้าของเงินจะต้องเห็นชอบด้วย” นายสุชาติ กล่าว

ทั้งนี้ หากแผนผ่านจะช่วยพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของกคช. จากที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง 1,305 ล้านบาท ในปี 2550 และ 991 ล้านบาท ในปี 2551 มามีกำไรได้ในปีนี้ และแม้จะมีหนี้เงินกู้ที่ต้องชำระคืนอยู่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่จะไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องของกคช. เพราะได้มีการชำระหนี้ก่อนกำหนดมาโดยตลอด

ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 30-01-2552