บสก.งัดที่367แปลงค่าพันล้าน เปิด พออยู่พอกินกับที่ดินบสก.

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บรรษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์การ (บสก.) กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการที่ดินเปล่าเพื่อปลูกพืช ตามแนวทาง "เกษตรทฤษฎีใหม่" มีมากขึ้น โดยเฉาพะกลุ่มผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี ที่ให้ความสนใจ โครงการ "พออยู่ พอกิน กับที่ดิน บสก." ได้มีการจัดทำแปลงสาธิต เพื่อให้ความรู้กับผู้สนใจซื้อที่ดินเปล่าของ บสก. ทั่วทุกภาค จากเดิมที่บริษัทมุ่งจับตลาดกลุ่มวัยเกษียณทำให้เชื่อว่าตลาดนี้ยังมี ศักยภาพมากในอนาคต ประกอบกับ ในปีหน้าแนวโน้มราคาที่ดินจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มราคาพืชพลังงานที่จะแพงขึ้นในอนาคต โดยตั้งแต่ปี 2545 ที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยราคาที่ดินเปล่าเพิ่มขึ้นประมาณ 3.3% ต่อปี อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินในช่วงที่ผ่านมายังถือว่าไม่มากนัก หากเทียบกับปัจจัยการผลิตอื่นๆ

"กลุ่มเป้าหมายของ บสก.มอง ไว้ว่า จะเป็นกลุ่มเกษียณอายุต้องการซื้อที่ดินเปล่าเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณ แต่เอาเข้าจริง มีแต่คนหนุ่มสาววัย 30-40 ปีที่อยากใช้ชีวิตที่ดีในพื้นที่ของตัวเอง โอกาสจึงมีมากขึ้น บสก.จึง คัดที่ดินเปล่าที่อยู่ในทำเลที่น้ำไฟเข้าถึง เหมาะกับการอยู่อาศัย ออกมาร่วมโครงการแล้วก็ให้ส่วนลด 5% ส่วนที่ดินเปล่าที่ดินแปลงใหญ่ที่น้ำไฟยังเข้าไม่ถึง บสก.จะนำไปขายในโครงการพืชเศรษฐกิจขายให้ลูกค้าอีกกลุ่ม"

ทั้งนี้ บสก. ได้คัดทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า ซึ่งมีอยู่ทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ และได้ดำเนินการปรับปรุงสภาพที่ดินว่างเปล่า ให้เหมาะสมกับโครงการนี้ เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ จำนวน 367 แปลง กว่า 6,000 ไร่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท มาขายให้กับผู้สนใจที่ต้องการมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดย บสก. ได้ จัดโปรโมชั่นพิเศษรับส่วนลดเพิ่ม 5% จากราคาอนุมัติขาย ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์

ขณะเดียวกัน บสก. ได้เตรียมรองรับลูกค้ารายย่อยที่ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินไม่ได้ สามารถผ่อนชำระกับ บสก. โดยราคาทรัพย์ต้องไม่เกิน 2 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยถูกสุด เอ็มแอลอาร์ -3 % ตลอดเวลาผ่อนชำระ 10 ปี ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2553

การเปิดตัวโครงการ พออยู่ พอกิน กับที่ดิน บสก. ครั้งนี้ เป็นโครงการต่อเนื่องจาก เฟสแรก ที่ได้เปิดตัวโครงการไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขาย 51.35 ล้านบาท เนื้อที่รวม 1,157 ไร่ ทั้งนี้คาดว่าหลังจากเปิดตัวโครงการ เฟสที่ 2 แล้ว จะทำยอดขายรวมทั้งโครงการ 300-400 ล้านบาท

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 21-11-52