ติดต่อ ที่ดินภูเก็ต : ศักดิ์ดา การวิจิตร โทร : 081-5377146 อีเมล์ : s_karnwigit@yahoo.com ...
20 กรกฎาคม 2552

"คลัง" เร่งทำประชาพิจารณ์ ร่าง กม.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เตรียมเสนอ ครม.และสภาฯ สมัยประชุมนี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 53 ให้ประชาชนปรับตัวก่อน 2 ปีแรก และจะเริ่มมีผลบังคับจริง ใช้ในปี 55 เป็นต้นไป

นายสมชัย สัจจพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้ สศค.ได้จัดทำประชาพิจารณ์ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ กระจายไปทั่วทุกภาคในหลายจังหวัด อาทิ สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ และสัปดาห์หน้าจะไปทำประชาพิจารณ์ที่จังหวัดชลบุรี โดยจะเน้นจัดทำในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 6 วัน ในการจัดงานชี้แจงทำความเข้าใจให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) และประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัด

จากนั้นในครั้งสุดท้ายจะเชิญนักวิชาการ นักศึกษา สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปจัดเสวนา เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการจัดทำร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จากการจัดประชาพิจารณ์แต่ละครั้งที่ผ่านมา ประชาชนให้การตอบรับค่อนข้างดีมาก และเข้าใจถึงการสนับสนุนให้ภาษีที่ดินฯ เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่จะมีคำถามว่า ประชาชนจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และต้องทำอย่างไรบ้างในการบริหารจัดการที่ดินของตนเอง ผู้ที่มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะเสียภาษีมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ รัฐจะเริ่มเก็บภาษีเมื่อใด และอัตราเท่าใด พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ นั้น ดีจริงหรือไม่ เป็นต้น

นายสมชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ชี้แจงถึงข้อดีและข้อเสียของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน ให้ประชาชนรับทราบว่า ปัจจุบันนี้ ประชาชนทั่วประเทศกว่าร้อยละ 90 ถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ ขึ้นไป ถือว่าเป็นการกระจายการถือครองที่ดินโดยไม่ธรรม ยังมีความลักลั่นอยู่ หากรัฐบาลไม่มีกลไกมาแก้ปัญหา และในสัดส่วนของผู้มีรายได้สูงถือครองที่ดินร้อยละ 10 นี้ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 75 ที่ถือครองที่ดินโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด เป็นเพียงการซื้อที่ดินเปล่าทิ้งไว้ เพื่อเก็งกำไร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีระบบภาษีมาดูแลเรื่องการกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันนี้รายได้ของ อปท. ที่จัดเก็บเอง มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท คือ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน กับภาษีบำรุงท้องที่ ส่วนอีกร้อยละ 90 มาจากการอุดหนุนของงบประมาณจากส่วนกลางของรัฐบาล เมื่อเทียบกับประเทศอื่น อาทิ นิวซีแลนด์ อปท.จัดเก็บรายได้เองได้ถึงร้อยละ 90 ขณะที่มาเลเซีย จัดเก็บรายได้เองร้อยละ 85 เมื่อ อปท. เป็นผู้จัดเก็บภาษีที่ดินเองโดยไม่ต้องส่งเข้างบประมาณส่วนกลางและบริหาร จัดการเงินดังกล่าวเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่ของตนเองได้ทันที ซึ่งจะทำให้มีความสามารถจัดเก็บจากปัจจุบันจากร้อยละ 10 เพิ่มเป็น ร้อยละ 70-80 ได้ รายได้เก็บภาษีจะเพิ่มจาก 20,000 ล้านบาทเป็น 40,000 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 2 ปีแรก และหากเก็บเต็มเพดานจะได้กว่า 90,000 ล้านบาท ทีเดียว

ดังนั้น ร่างกฎหมายดังกล่าว ทำให้ อปท. จัดเก็บรายได้สัดส่วนที่สูงขึ้น จะทำให้ประชาชนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง การให้ความสำคัญในการเลือกตั้งตัวแทนเข้ามาบริหารท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น กฎหมายดังกล่าวจะทำให้ทุกคนต้องเสียภาษีที่ดินเหมือนกันหมด โดยมีฐานภาษีที่มีอัตราต่างกันไปตามขนาดและมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นั้น ๆ ขณะที่อัตราภาษีนั้นจะกำหนดเพดานไว้ตามการใช้ที่ดิน คือ ในเชิงพาณิชย์จะกำหนดเพดานไว้ที่ร้อยละ 0.5 ของมูลค่า โดยจะมีคณะกรรมการกลางที่จะพิจารณาว่าจะจัดเก็บภาษีอัตราเท่าใด และจะปรับอัตราทุกๆ 4 ปี เช่น เชิงพาณิชย์อาจคิดร้อยละ 0.2 หากอยู่อาศัยด้วยตนเองคงต้องคิดภาษีน้อยกว่าร้อยละ 0.1

สำหรับที่ดินทำการเกษตรกรรม จะกำหนดเพดานน้อยกว่าร้อยละ 0.05 แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จะคิดแพงที่สุด และสูงกว่าอัตราในเชิงพาณิชย์ด้วย เช่น หากกำหนดอัตราภาษีในเชิงพาณิชย์ไว้ที่ ร้อยละ 0.4 ต้องเก็บภาษีที่ดินเปล่าร้อยละ 0.45-0.5 เป็นต้น และหากยังคงปล่อยที่รกร้างว่างเปล่าทิ้งไว้อีก 3 ปี จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว แต่จะไม่เกินร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

หากร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้ว กระทรวงการคลังกำหนดไว้ว่ากฎหมายภาษีที่ดินจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 เป็นต้นไป โดยยังคงมีช่วงเวลาให้ประชาชนปรับตัวก่อน 2 ปีแรก เพราะจะเริ่มมีผลบังคับจริงใช้ในปี 55 เป็นต้นไป แต่ช่วง 3 ปีแรก ที่เริ่มบังคับใช้นั้น จะให้ อปท. ทุกแห่ง ใช้กฎหมายดังกล่าวแบบขั้นบันได คือ ในปีแรกจะเก็บภาษีเพียงร้อยละ 50 ปีที่ 2 จัดเก็บเพิ่มเป็นร้อย 75 และปีที่ 3 เป็นต้นไป จึงจะเก็บภาษีเต็มร้อยละ 100 ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี อปท.ถึงจะได้เงินจากภาษีที่ดินแบบเต็มรูปแบบ

สำหรับคนจน จะไม่เก็บภาษีด้วยการกำหนดเกณฑ์ว่า จะต้องมีที่ดินถือครองเท่าใด จึงจะไม่ต้องเสียภาษี แต่ขณะนี้ยังไม่สรุปตัวเลขดังกล่าว แต่คนแก่นั้นไม่ยกเว้นให้ เพราะเกรงว่าอาจมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่ลูกหลานจะให้เป็นชื่อของผู้สูงอายุ แทน เพื่อเลี่ยงไม่จ่ายภาษี ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมนั้นก็คิดอีกอัตราหนึ่ง และหากมีมูลค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

ขณะที่ ผู้ที่มีที่ดินว่างเปล่าที่ซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรนั้น หากเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร้อยละ 80 จะต้องเสียภาษีแพงมาก ช่วยลดปัญหาการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ลงได้ ซึ่งขณะนี้กรมธนารักษ์ กำลังจัดทำราคาประเมินที่ดิน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี โดยไทยมีที่ดินทั้งประเทศ 30 ล้านแปลง ขณะนี้ประเมินไปแล้ว 5 ล้านแปลง ยังเหลืออีก 25 ล้านแปลง ที่ต้องเร่งประเมินให้แล้วเสร็จก่อนปี 55

ส่วนกรมที่ดินต้องจัดทำแผนที่ดิจิตอลทั่วประเทศให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างรายแปลงทั่วประเทศ คาดว่าเมื่อจัดทำประชาพิจารณ์แล้ว จะให้ รมว.คลัง นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในเดือน ส.ค. จากนั้นในเดือน ต.ค.-พ.ย. เสนอเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ และเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 เป็นต้นไป

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่า จะพยายามเสนอกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้สภาฯ พิจารณาให้ทันการประชุมสภาสมัยการประชุมนี้หลังจากได้ประชาพิจารณ์ที่ จังหวัดเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะจากการจัดงานดังกล่าวมาหลายพื้นที่ ประชาชนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว

โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 19-07-52

0 ความคิดเห็น: